เนื่องจากทาง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ปรับปรุงเเละยกระดับคุณภาพ มอก.17-2532 ซึ่งเป็นมอก.สำหรับท่อน้ำดื่มสีฟ้า และเปลี่ยนเป็น มอก. 17-2561 โดยกำหนดใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2562 เเละยกเลิก มอก.เดิม 17-2532 กฎเกณฑ์สำคัญในมอก.ใหม่ คือการกำหนดความหนาแน่นของท่อ uPVC ต้องอยู่ในช่วง 1.35 – 1.46 g/cm3 เท่านั้น และการควบคุมปริมาณการปนเปื้อนของสารตะกั่ว และ แคดเมี่ยม เพื่อเป็นการยกระดับและควบคุมคุณภาพท่อ uPVC ให้สูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสาเหตุ ทำให้ต้นทุนการผลิตท่อ uPVC เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

 

ส่วนประกอบหลักๆในการผลิตท่อ uPVC คือ PVC เรซิน(ความหนาแน่นประมาณ 1.4 g/cm3) หินปูน (ความหนาแน่นประมาณ 2.7 g/cm3) นอกเหนือจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่นๆ เช่น สารทนความร้อน (Stabilizer) สารทึบแสงทน รังสี UV (Titanium Dioxide) และสี (Pigment) เป็นต้น หินปูนนี้แหละที่เป็นเป็นตัวประกอบสำคัญในการลดต้นทุนการผลิตด้านวัตถุดิบ เพราะPVC เรซินมีราคาเเพงกว่าหินปูน อยู่ประมาณ 6-8 เท่า

​

ในกระบวนการผลิตท่อ uPVC ตาม มอก.เก่า 17-2532 ไม่กำหนดความหนาแน่น ทำให้สามารถใช้หินปูนได้ในปริมาณที่มากกว่า มอก.ใหม่ ซึ่งกำหนดความหนาแน่นสูงสุด อยู่ที่ 1.46 g/cm3 ทำให้ใช้หินปูนได้สูงสุดเพียงประมาณไม่เกิน 5.5% โดยน้ำหนัก (ใน มอก.เก่า 17-2532 การใส่หินปูนที่มากเกินไป ทำให้ได้สินค้าด้อยคุณภาพ กรอบ แตกง่าย และไม่สามารถผ่าน มาตรฐาน มอก.17-2532 ได้เช่นกัน)

​

จากการทดสอบ สินค้าในท้องตลาดในปัจจุบัน มีการผลิตท่อ uPVC ที่ใช้ส่วนผสมของหินปูนมากถึง 23%-38% ซึ่งจะได้ท่อที่มีความหนาแน่นประมาณ 1.58 – 1.71 g/cm3 ตามลำดับ ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ตาม มอก.ใหม่ 17-2561 ปริมาณหินปูนที่ใช้จะแปรผันโดยตรงกับความหนาแน่นของท่อ และการผสมหินปูนในปริมาณที่สูงจะมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของท่อ (จากความหนาแน่นของท่อสามารถคำนวณกลับมาเป็นปริมาณหินปูนที่ผสมได้)